ซิชั่น พีอาร์ นิวส์ไวร์ - CISION PR Newswire
![]() |
กรุงเทพฯ, 10 ก.ย. 2568 /PRNewswire/ -- การรับรู้ของสาธารณชนต่อการดูแลรักษาโรคมะเร็งในประเทศไทยยังคงสะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างสำคัญ ตั้งแต่การตรวจคัดกรอง การวินิจฉัย ไปจนถึงการรักษา รวมถึงการฟื้นฟูสมรรถภาพหลังการรักษา ข้อมูลจากงานสำรวจล่าสุดที่จัดทำขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนจาก Siemens Healthineers ชี้ให้เห็นประเด็นดังกล่าวอย่างชัดเจน
Bridging the Gaps: Public Perceptions of the Cancer Care Continuum in Southeast Asia (เชื่อมปิดช่องว่าง: มุมมองการรับรู้ของสาธารณชนต่อเส้นทางการดูแลรักษามะเร็งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ผลสำรวจโดย YouGov ในกลุ่มประชากรกว่า 6,000 คน ครอบคลุม 6 ประเทศ[1]ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยให้เห็นว่า สาธารณชนมีความตระหนักสูงต่อความสำคัญของการตรวจพบมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มแรก แต่ในทางปฏิบัติกลับมีอัตราการตรวจคัดกรองที่ต่ำ สะท้อนถึงช่องว่างสำคัญในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ ทั้งยังเผยให้เห็นถึงความเข้าใจที่จำกัดเกี่ยวกับทางเลือกการรักษาและการดูแลระยะหลังการรักษา ขณะเดียวกันยังแสดงถึงความคาดหวังต่อระบบการดูแลที่บูรณาการมากขึ้น โดยมีนวัตกรรมดิจิทัลเป็นปัจจัยสำคัญในการยกระดับคุณภาพการรักษา
"ผลการสำรวจครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการทำความเข้าใจการดูแลรักษามะเร็งอย่างรอบด้าน ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นของโรค ไปจนถึงการดูแลต่อเนื่องหลังเสร็จสิ้นการรักษา" คุณ Fabrice Leguet กรรมการผู้จัดการและประธานประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Siemens Healthineers กล่าว "แนวทางที่ผู้ป่วยใช้ในการเข้ารับการตรวจคัดกรอง การตัดสินใจเลือกแนวทางการรักษา ตลอดจนการวางแผนชีวิตหลังการรักษา ล้วนมีบทบาทสำคัญต่อการยกระดับผลลัพธ์ด้านสุขภาพ"
การรับรู้สูง แต่การลงมือทำค่อนข้างน้อย
จากผลการสำรวจ พบว่าผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่ (ร้อยละ 88) เชื่อว่าการตรวจพบโรคมะเร็งในระยะเริ่มต้นสามารถช่วยให้ผลการรักษาดีขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม มีเพียงไม่ถึงครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 40) ของผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศไทยที่เคยเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง แม้ว่าจะเป็นอัตราที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ในกลุ่มผู้ที่เคยตรวจคัดกรองดังกล่าว มีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้นที่เคยตรวจคัดกรองมะเร็งแบบเฉพาะเจาะจง
สำหรับเหตุผลที่ไม่ได้เข้ารับการตรวจคัดกรอง ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความเห็นที่แตกต่างกัน โดยเหตุผลที่พบบ่อยที่สุดคือ ความกังวลและความกลัวต่อการได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง (ร้อยละ 23) รองลงมาคือการขาดหลักประกันและความคุ้มครองด้านการแพทย์เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายในการตรวจ (ร้อยละ 19) และเหตุผลอื่น ๆ (ร้อยละ 18) ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการตรวจที่มองว่าสูงเกินไป ความไม่รู้ว่าควรตรวจในรูปแบบใด และความไม่ทราบสถานพยาบาลที่จะเข้ารับการตรวจ ซึ่งสะท้อนถึงอุปสรรคหลายประการในการเข้าถึงบริการ ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคพบเหตุผลหลักแตกต่างออกไป โดยมีสัดส่วนสูงที่ระบุว่า "ไม่รู้สึกว่ามีความจำเป็นต้องตรวจ" โดยเฉพาะในฟิลิปปินส์ (ร้อยละ 46) สิงคโปร์ (ร้อยละ 43) และเวียดนาม (ร้อยละ 35)
นอกจากนี้ เมื่อสอบถามถึงการรับรู้ความเป็นไปได้ในการพัฒนาของโรคมะเร็ง ร้อยละ 40 ของผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศไทยเชื่อว่าตนเองมีโอกาสเผชิญกับโรคนี้ในช่วงชีวิต ซึ่งจัดเป็นระดับการตระหนักรู้ความเสี่ยงที่อยู่ในอันดับสามจากทั้งหมดหกประเทศที่ทำการศึกษา
การรับรู้และการเข้าถึงการรักษา: ความรู้ด้านการบำบัดสมัยใหม่ยังอยู่ในระดับจำกัด
ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงคุ้นเคยกับการรักษาแบบดั้งเดิม เช่น การฉายรังสี (ร้อยละ 60) เคมีบำบัด (ร้อยละ 55) และการผ่าตัด (ร้อยละ 36) ขณะที่การบำบัดสมัยใหม่ยังแทบไม่เป็นที่รู้จัก เช่น การบำบัดแบบแม่นยำ (ร้อยละ 17) ภูมิคุ้มกันบำบัด (ร้อยละ 16) และการรักษาด้วยภาพนำทาง (ร้อยละ 11)
แม้หลายคนมองว่าการรักษาสามารถเข้าถึงได้[2] (ร้อยละ 46) แต่กลับเห็นว่ายังมีราคาหรือค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป(ร้อยละ 50) และความกังวลต่อผลข้างเคียงก็สูงเช่นกัน (ร้อยละ 54) มุมมองเหล่านี้สอดคล้องกับข้อกังวลในหลายประเทศทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในสิงคโปร์ สองในสามของผู้ตอบแบบสอบถาม (ร้อยละ 67) ระบุว่าค่ารักษาเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุด ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในภูมิภาค ตามมาด้วยฟิลิปปินส์ (ร้อยละ 62)
การอยู่รอดหลังการรักษา: ความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลหลังการรักษายังไม่เพียงพอ
เส้นทางของผู้ป่วยไม่ได้สิ้นสุดเพียงแค่การรักษามะเร็งเท่านั้น ผลสำรวจชี้ว่า ผู้ตอบส่วนใหญ่ ร้อยละ 84 ตระหนักถึงการมีอยู่ของการดูแลผู้ป่วยหลังการรักษา อย่างไรก็ดี ร้อยละ 55 ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงขั้นตอนและรูปแบบการดูแลที่ควรได้รับ เช่นเดียวกับหลายประเทศในภูมิภาค ผู้ป่วยชาวไทยมีความคาดหวังต่อระบบสาธารณสุขที่จะสามารถให้บริการตรวจวินิจฉัยที่เข้าถึงได้ง่าย (ร้อยละ 59) และมีการติดตามผลอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอหลังเสร็จสิ้นการรักษา (ร้อยละ 64)
สัญญาณแห่งความหวัง: ความเชื่อมั่นต่อการดูแลมะเร็งแบบครบวงจร และความคาดหวังต่อการประยุกต์ใช้นวัตกรรมดิจิทัลเพื่อยกระดับคุณภาพการดูแลรักษา
ผลการสำรวจสะท้อนให้เห็นไม่เพียงแค่ข้อกังวล แต่ยังมีมุมมองเชิงบวกด้วย โดยกว่าร้อยละ 57 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ระบุว่าพวกเขาจะรู้สึกมั่นใจในเส้นทางการรักษามากขึ้น หากบริการด้านมะเร็งถูกจัดให้อยู่ในรูปแบบ "ครบวงจร" (one-stop) ซึ่งถือเป็นระดับความเชื่อมั่นสูงเป็นอันดับสองของภูมิภาค รองจากสิงคโปร์ที่มีร้อยละ 58 ผลลัพธ์นี้ชี้ให้เห็นถึงความคาดหวังอย่างชัดเจนว่าการดูแลที่บูรณาการมากขึ้นจะสามารถยกระดับประสบการณ์ของผู้ป่วยได้
ทัศนะต่อการนำนวัตกรรมดิจิทัลมาใช้ในการดูแลรักษามะเร็งสะท้อนถึงความหวังอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกัน ทัศนะของสังคมต่อการนำนวัตกรรมดิจิทัลมาใช้ในการดูแลรักษามะเร็งสะท้อนถึงความหวังที่มาพร้อมความระมัดระวัง หนึ่งในสามของผู้ตอบแบบสอบถาม (ร้อยละ 33) เปิดกว้างต่อการใช้งานปัญญาประดิษฐ์ และอีกหนึ่งในสาม (ร้อยละ 33) มองว่ามีศักยภาพที่น่าสนใจ หากกระบวนการเป็นไปอย่างโปร่งใส อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์ และมีมาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เข้มงวด ตัวเลขดังกล่าวยังต่ำเมื่อเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาค สะท้อนให้เห็นถึงท่าทีที่ระมัดระวังมากกว่าของสังคมไทย โดยสิ่งที่ประชาชนให้ความสำคัญ คือ การที่เครื่องมือดิจิทัลควรทำหน้าที่เสริม ไม่ใช่ทดแทนบุคลากรทางการแพทย์ (ร้อยละ 46)
Siemens Healthineers: เดินหน้าปิดช่องว่างการดูแลรักษา มุ่งยกระดับคุณภาพเส้นทางการดูแลผู้ป่วยมะเร็ง
การสำรวจครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Siemens Healthineers ในการบุกเบิกความก้าวหน้าด้านการดูแลสุขภาพ ไม่เพียงแต่ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย แต่ยังรวมถึงการสร้างความเข้าใจ ความเชื่อมั่น และการสนับสนุนผู้ป่วยตลอดเส้นทางการดูแลโรคมะเร็ง งานวิจัยชี้ว่ามีทั้งอุปสรรคและโอกาสสำคัญในการยกระดับประสบการณ์การรักษา ได้แก่ การจัดการการดูแลที่เชื่อมโยงและประสานงานมากขึ้น การเข้าถึงบริการที่มีความคุ้มค่าและสามารถจ่ายได้ และการนำเครื่องมือดิจิทัลที่โปร่งใสและยึดโยงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์มาใช้
"เรามุ่งมั่นที่จะช่วยปิดช่องว่างที่สะท้อนจากการสำรวจ โดยการสนับสนุนให้มีการตรวจพบมะเร็งได้เร็วขึ้นและแม่นยำยิ่งขึ้น การสนับสนุนแพทย์ด้วยนวัตกรรมดิจิทัล และการพัฒนาการรักษาแบบแม่นยำควบคู่กับการดูแลระยะยาว ด้วยการผสานนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเข้ากับองค์ความรู้ทางคลินิกและความเชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษาระบบสุขภาพ Siemens Healthineers มุ่งหวังที่จะส่งมอบผลลัพธ์ที่แท้จริงต่อชีวิตผู้ป่วยหลายล้านคนทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" คุณ Leguet กล่าว
ภาพข่าวสามารถติดต่อขอรับได้ตามประสงค์
หมายเหตุถึงบรรณาธิการ: การสำรวจในชื่อ "Bridging the Gaps: Public Perceptions of the Cancer Care Continuum in Southeast Asia" จัดทำโดย Siemens Healthineers และดำเนินการโดย YouGov ผ่านการเก็บข้อมูลออนไลน์ระหว่างวันที่ 21–29 กรกฎาคม 2568 มีผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 6,379 คน จากกลุ่มตัวอย่างของ YouGov ครอบคลุม 6 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม โดยข้อมูลได้รับการถ่วงน้ำหนักให้สะท้อนโครงสร้างประชากรอย่างเป็นตัวแทนของแต่ละประเทศ
เยี่ยมชม Siemens Healthineers Press Center
สมัครรับข่าวสารผ่านจดหมายข่าว "Medtech matters" บน LinkedIn
Siemens Healthineers เป็นผู้บุกเบิกนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สร้างความก้าวหน้าด้านการดูแลสุขภาพ เพื่อทุกคน ทุกที่ อย่างยั่งยืน เรา เป็นผู้ให้บริการเครื่องมือ, โซลูชัน และบริการด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ระดับโลก โดยมีการดำเนินงานในกว่า 180 ประเทศ และมีสำนักงานตัวแทนโดยตรงมากกว่า 70 ประเทศ Siemens Healthineers AG (จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี ใต้ชื่อย่อ SHL และบริษัทในเครือ)
และบริษัทย่อยต่าง ๆ ในฐานะบริษัทเทคโนโลยีการแพทย์ชั้นนำ Siemens Healthineers มุ่งมั่นที่จะยกระดับการเข้าถึงบริการสุขภาพแก่ชุมชนที่ขาดโอกาสทั่วโลก และมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาโรคร้ายแรงที่คุกคามชีวิต บริษัทฯ ดำเนินงานในด้านการถ่ายภาพทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรค การดูแลรักษาโรคมะเร็ง และการบำบัดรักษาแบบไม่รุกล้ำ พร้อมทั้งเสริมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ ในปีงบประมาณ 2567 ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัทฯ มีพนักงานราว 72,000 คนทั่วโลก และมีรายได้ประมาณ 2.24 หมื่นล้านยูโร ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.siemens-healthineers.com
[1] อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม
[2] "การเข้าถึง" (accessibility) ในที่นี้หมายถึงความสะดวกที่ประชาชนสามารถใช้บริการด้านสุขภาพได้เมื่อมีความจำเป็น ซึ่งครอบคลุมปัจจัยเชิงปฏิบัติ เช่น ระยะทาง ค่าใช้จ่าย ความพร้อมของบริการ และภาษา
[3] การดูแลรักษามะเร็ง 'แบบครบวงจร' (one-stop cancer care) หมายถึงแนวทางบูรณาการที่ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงบริการหลักทั้งหมด อย่างเช่น การตรวจคัดกรอง การวินิจฉัย การรักษา การติดตามผล และการสนับสนุน ในสถานที่เดียวหรือผ่านระบบที่มีการประสานงานอย่างรอบด้าน
แสดงความคิดเห็น :