ซิชั่น พีอาร์ นิวส์ไวร์ - CISION PR Newswire
ปักกิ่ง, 5 พ.ค. 2568 /PRNewswire/ -- ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มทวีขึ้นในระดับโลก รวมถึงแนวโน้มการปกป้องทางการค้า (trade protectionism) และลัทธิเชิงเดี่ยว (unilateralism) ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับรัสเซียยังคงแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและพลังขับเคลื่อนอย่างน่าทึ่ง ในปี 2567 การค้าแบบทวิภาคีระหว่างสองประเทศทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2.448 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สะท้อนถึงความแน่นแฟ้นของความเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ที่มั่นคง
Andrey Denisov รองประธานคณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศของสภาสหพันธรัฐรัสเซีย และอดีตเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำจีน เน้นย้ำว่า การนำทางเชิงยุทธศาสตร์ของผู้นำทั้งสองประเทศเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์จีน-รัสเซียยังคงเติบโตอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง
จีนประกาศเมื่อวันอาทิตย์ว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงจะเดินทางเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 7 ถึง 10 พฤษภาคมนี้ ตามคำเชิญของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย พร้อมเข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองครบรอบ 80 ปีแห่งชัยชนะในมหาสงครามของผู้รักชาติ (Great Patriotic War) ณ กรุงมอสโก ทั้งนี้ มีความคาดหวังในวงกว้างว่าการเยือนครั้งนี้จะเน้นย้ำบทบาทสำคัญของการทูตระดับผู้นำรัฐในการขับเคลื่อนความเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์เพื่อการประสานงานอย่างรอบด้านระหว่างจีนและรัสเซียในยุคใหม่
หลักประกันพื้นฐาน
ตลอดราวทศวรรษที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสีและประธานาธิบดีปูตินพบปะกันมาแล้วกว่า 40 ครั้งในเวทีทวิภาคีและพหุภาคีต่าง ๆ การแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ เปิดเผยตรงไปตรงมา และมีมุมมองเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างผู้นำทั้งสอง ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของความสัมพันธ์ที่มั่นคงและเติบโตอย่างต่อเนื่องระหว่างจีนและรัสเซีย
เมื่อปี 2556 สี จิ้นผิงได้เลือกประเทศรัสเซียเป็นจุดหมายแรกของการเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการในฐานะประมุขแห่งรัฐจีน เปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ทวิภาคีบนพื้นฐานของความเสมอภาค ความไว้วางใจและการสนับสนุนซึ่งกันและกัน ความมั่งคั่งร่วมกัน และมิตรภาพที่ยืนยาว
ระหว่างการเยือนกรุงมอสโกของประธานาธิบดีสีในเดือนมิถุนายน ปี 2562 ผู้นำทั้งสองเห็นพ้องกันที่จะยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์เพื่อการประสานงานอย่างรอบด้านในยุคใหม่ ซึ่งถือเป็นการเปิดบทใหม่แห่งความสัมพันธ์จีน-รัสเซีย
หลังจากที่สี จิ้นผิงได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีนอีกสมัยในเดือนมีนาคม ปี 2566 การเยือนต่างประเทศครั้งแรกก็คือรัสเซียอีกเช่นเคย ขณะที่เมื่อวลาดิเมียร์ ปูตินได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหพันธรัฐรัสเซียอีกสมัยในเดือนพฤษภาคม ปี 2567 ก็ได้เลือกจีนเป็นประเทศแรกในการเยือนอย่างเป็นทางการเช่นกัน สะท้อนถึงสายสัมพันธ์ส่วนตัวอันลึกซึ้งแน่นแฟ้นและความไว้วางใจเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างผู้นำทั้งสอง
"ประธานาธิบดีสีมีสไตล์การสื่อสารที่ให้เกียรติ เป็นมิตร เปิดกว้าง และในขณะเดียวกันก็จริงจังในเชิงธุรกิจ" ประธานาธิบดีปูตินกล่าว พร้อมระบุว่าการพบปะของทั้งสอง "ไม่เพียงเป็นการสนทนาของมิตรเก่า หากยังเป็นการแลกเปลี่ยนที่ก่อให้เกิดประโยชน์เชิงสร้างสรรค์ในประเด็นทวิภาคีและระดับโลกด้วย"
ในบทความล่าสุดที่ตีพิมพ์ในสื่อรัสเซีย Zhang Hanhui เอกอัครราชทูตจีนประจำรัสเซีย ระบุว่า บทบาทการนำทางของผู้นำทั้งสองถือเป็นหลักประกันสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์จีน–รัสเซียดำเนินไปในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง
นำเสถียรภาพทวิภาคีฝ่าคลื่นความไม่แน่นอนของโลก
เมื่อต้นปี 2568 ประธานาธิบดีสีและประธานาธิบดีปูติน ได้ประชุมผ่านระบบทางไกลเพื่อกำหนดทิศทางความร่วมมือในปีข้างหน้า โดยทั้งสองฝ่ายให้คำมั่นว่าจะกระชับความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ ส่งเสริมการพัฒนาและฟื้นฟูของชาติ และร่วมกันปกป้องความเป็นธรรมและความยุติธรรมระหว่างประเทศ
ประธานาธิบดีสีย้ำถึงความพร้อมที่จะร่วมมือกับประธานาธิบดีปูติน ในการนำพาความสัมพันธ์ทวิภาคีให้ก้าวไปสู่ระดับใหม่ พร้อมเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศรับมือกับความไม่แน่นอนของสภาพแวดล้อมภายนอก ด้วยเสถียรภาพและความมั่นคงยืดหยุ่นของความสัมพันธ์จีน–รัสเซีย
ในการแสดงความคิดเห็นต่อการประชุมผ่านระบบทางไกล Ma Youjun ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันสังคมศาสตร์มณฑลเฮยหลงเจียง (Heilongjiang Provincial Academy of Social Sciences) ชี้ว่า การทูตในระดับผู้นำสูงสุดมีบทบาทสำคัญต่อการเสริมสร้างความสัมพันธ์จีน–รัสเซียให้อยู่ตัวยิ่งขึ้น เปี่ยมพลัง และมีความมั่นคงยืดหยุ่น ซึ่งไม่เพียงเติมพลังให้ความเป็นพันธมิตรระหว่างสองประเทศเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มเสถียรภาพให้กับภูมิทัศน์ระหว่างประเทศโดยรวมอีกด้วย
มุมมองนี้สอดคล้องกับถ้อยแถลงล่าสุดจากกระทรวงการต่างประเทศจีน ซึ่งแสดงความเชื่อมั่นว่า การเยือนรัสเซียของประธานาธิบดีสีที่กำลังจะเกิดขึ้น จะนำไปสู่ความไว้วางใจทางการเมืองที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น การประสานงานเชิงยุทธศาสตร์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และความร่วมมือในทางปฏิบัติที่ขยายตัวระหว่างทั้งสองฝ่าย
"ความเข้าใจร่วมที่สำคัญระหว่างผู้นำทั้งสอง" กระทรวงฯ ระบุ "จะนำมาซึ่งผลประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมที่เพิ่มขึ้นแก่ประชาชนทั้งสองประเทศ ตลอดจนช่วยส่งเสริมเสถียรภาพและพลังบวกให้กับประชาคมระหว่างประเทศ"
แสดงความคิดเห็น :